GORAGOD.com

freelance, web developer, web designer, hosting, domain name

การปรับปรุงคะแนน Lighthouse และความสำคัญของ SEO

การปรับปรุงคะแนน Lighthouse และความสำคัญของ SEO
Lighthouse คือเครื่องมือที่พัฒนาโดย Google ซึ่งใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยให้คะแนนตามหลักเกณฑ์ต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพของการโหลดหน้าเว็บ (performance)、การใช้งาน (accessibility)、คุณภาพของส่วนแสดงผล (best practices) และการทำ SEO (search engine optimization)
 
การปรับปรุงคะแนน Lighthouse เป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากมีผลต่อประสิทธิภาพและประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ โดยตรง
  1. ประสิทธิภาพของการโหลดหน้าเว็บ (Performance) มีผลต่อประสิทธิภาพทั้งหน้าเว็บและการค้นหา หากเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้งานมีแนวโน้มที่จะออกจากเว็บไซต์นั้นๆ หรือไม่กลับมาใช้งานเว็บไซต์อีก และยังส่งผลกระทบต่ออัลกอริทึมการค้นหาของ Google ด้วย
  2. คุณภาพของส่วนแสดงผล (Best Practices) การปฏิบัติที่ดีบนเว็บไซต์ เช่นการใช้งานแบบ Responsive Design (การออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์ทุกชนิด)、การใช้งาน HTTPS、การป้องกันการโจมตี Cross-Site Scripting (XSS) และอื่นๆ มีผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเว็บไซต์โดยรวม
  3. ความสะดวกในการใช้งาน (Accessibility) เว็บไซต์ที่มีความเข้าถึงง่ายสำหรับผู้ใช้งานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ใช้งานทั่วไป จะมีโอกาสเพิ่มความน่าเชื่อถือ และมีผู้เยี่ยมชมมากขึ้นได้
เกี่ยวกับ SEO นั้น คะแนน SEO ที่ไม่ดีสามารถมีผลกระทบต่อการค้นหาของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ เช่น Google และ Bing ตัวอย่างเช่น
  1. ระดับความสำคัญในผลการค้นหา (อันดับการแสดงผล) เว็บไซต์ที่มีคะแนน SEO ที่ไม่ดีอาจทำให้เว็บไซต์นั้นไม่ได้รับการอ้างอิงหรือการจัดอันดับที่ดีในผลการค้นหา ซึ่งปกติแล้วผู้ใช้งานจะนิยมคลิกในผลการค้นหาอันดับแรก ๆ ก่อน ดังนั้น ถ้าอันดับเราไม่ดีก็จะส่งผลต่อปริมาณการเยี่ยมชมเว็บไซต์
  2. การแสดงผลในผลการค้นหา เว็บไซต์ที่มี SEO ที่ไม่ดีอาจไม่สามารถปรากฏในผลการค้นหาสำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งจะลดโอกาสในการรับการเข้าชมด้วยเช่นกัน
การปรับปรุงคะแนน SEO สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการพบเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหา และเพิ่มโอกาสในการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณด้วย
 
การปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในด้าน Performance นั้น คุณสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้
  1. เพิ่มประสิทธิภาพการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Performance)
    • ลดขนาดของไฟล์ภาพ ใช้รูปภาพที่มีขนาดเล็กและรูปแบบไฟล์ที่มีการบีบอัดอย่างเหมาะสม เช่น JPEG หรือ WebP เพื่อลดการโหลดและเวลาในการโหลดรูปภาพนั้นๆ
    • ลดขนาดของไฟล์ CSS, JavaScript โดยลบโค้ดที่ไม่จำเป็นออก และใช้เครื่องมือสำหรับการบีบอัดโค้ด เช่น minification หรือ concatenation เพื่อลดขนาดไฟล์และเวลาในการโหลด ปัญหาที่เจอบ่อยเช่นการใช้ CSS Framework หรือ Javascript Framework
    • ใช้แคช (Caching) เช่น HTTP caching เพื่อช่วยลดการโหลดทรัพยากรซ้ำซ้อน ซึ่งช่วยลดเวลาในการโหลดไฟล์ที่สามารถแคชไว้ได้
  2. การทำงานของ JavaScript
    • ลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็นออก โดยการตรวจสอบและลบ JavaScript ที่ไม่จำเป็นในหน้าเว็บออก ซึ่ง Javascript ที่ไม่ได้ใช้งาน อาจหน่วงการทำงานของหน้าเว็บได้
    • การโหลด JavaScript ควรทำการโหลด JavaScript ให้เป็นแบบไม่บล็อคการโหลดของ HTML (deferred loading) เพื่อช่วยลดเวลารวมในการโหลดและแสดงผล HTML
  3. การโหลดแบบความต้องการทันที (Critical Rendering Path)
    • ลดเวลาในการแสดงผลลง ให้แสดงหน้าเว็บได้เร็วขึ้น โดยลดการบล็อกการแสดงผลของ HTML และ CSS ด้วยการลดขนาดของไฟล์และลบที่ไม่ได้ใช้งานออก รวมถึงการจัดลำดับการโหลดที่เหมาะสมด้วย
    • ใช้งานเครื่องมือ Lazy Loading เพื่อการโหลดทรัพยากรเมื่อจำเป็น เช่น ไฟล์ภาพหรือ VDO ถ้าไม่แสดงผลก็ยังไม่ต้องโหลด
    • ใช้งานเครื่องมือ Preloading เพื่อช่วยให้เราสามารถโหลดทรัพยากรที่จำเป็นได้ล่วงหน้า ลงในแคชของเบราว์เซอร์ไว้ เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในขณะที่ผู้ใช้งานกำลังเรียกดูเว็บไซต์
  4. การใช้งานเครื่องมือของนักพัฒนา (Development Tooling)
    • ใช้ Lighthouse หรือเครื่องมืออื่นๆ ตรวจสอบการโหลดและประสิทธิภาพของหน้าเว็บ เพื่อวัดและประเมินประสิทธิภาพของเว็บไซต์
    • ทำการทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่ทำมีผลต่อการโหลดและประสิทธิภาพโดยรวมของเว็บไซต์ ในทางที่ดีขึ้น
 
การปรับปรุงคุณภาพของส่วนแสดงผล (Best Practices) ในเชิงเว็บไซต์หมายถึงการปฏิบัติตามหลักการที่ถูกต้องและคำแนะนำที่ดีในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดี โดยเน้นไปที่ปัจจัยต่อไปนี้
  1. Responsive Design (การออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์ทุกชนิด) เว็บไซต์ควรถูกออกแบบเพื่อให้สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมกับหลายขนาดและหลายประเภทของอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์พีซี、แท็บเล็ต、สมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ
  2. การป้องกันการโจมตี Cross-Site Scripting (XSS) เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์ เนื่องจากมันช่วยป้องกันการฝังโค้ดลับลงในหน้าเว็บที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้งานได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจมตีของข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
  3. การใช้งาน HTTPS เป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้งาน เว็บไซต์ที่ใช้ HTTPS มักจะได้รับการตั้งค่าเพื่อป้องกันการถูกแฮ็ก และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้เยี่ยมชม
  4. การป้องกันการโจมตี Cross-Site Request Forgery (CSRF) CSRF เป็นการโจมตีที่เปลี่ยนแปลงหรือปลอมแปลงการของผู้ใช้งานที่ติดต่อกับเว็บไซต์ การป้องกัน CSRF ช่วยลดความเสี่ยงในการทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้งานหรือข้อมูล
  5. การจัดการความเชื่อถือและความปลอดภัยของข้อมูล การบริหารจัดการความเชื่อถือและความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการแอบแฝงข้อมูลที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใช้งาน
การปฏิบัติที่ดีในเว็บไซต์ที่สามารถทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีและปลอดภัย และยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและคุณภาพของเว็บไซต์ด้วย
 
ความสะดวกในการใช้งาน (Accessibility) เป็นแนวคิดหรือการออกแบบเว็บไซต์ที่ให้ความสำคัญกับการให้บริการและเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกขึ้นสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษ ซึ่งอาจเป็นคนพิการ ผู้สูงอายุ หรือผู้ใช้งานทั่วไปที่อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล โดยประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงได้แก่
  1. การเข้าถึงข้อมูลด้วยความสะดวก เว็บไซต์ควรออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาและฟังก์ชันของเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องพบกับข้อยากลำบาก เช่นการใช้ปุ่มลัด (shortcuts) หรือการนำทางให้กับผู้ใช้งานผ่านคีย์บอร์ด เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงส่วนต่างๆของเว็บไซต์
  2. การใช้งานที่เข้าถึงได้ด้วยอุปกรณ์เสริม เว็บไซต์ควรสามารถให้บริการและเข้าถึงได้ด้วยอุปกรณ์ช่วย เช่น จอมอนิเตอร์ คีย์บอร์ดพิเศษ หรือซอฟต์แวร์ช่วยอ่าน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้เช่นเดียวกับผู้ใช้งานปกติทั่วไป
  3. การเน้นประสบการณ์การใช้งานสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่มีข้อจำกัด การออกแบบเนื้อหาและส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ให้เน้นไปที่ความต้องการและปัญหาที่เจอของกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษ เช่น การเน้นบทความหรือสาระสำคัญให้มีการบริหารจัดการคำอธิบายภาพ (alt text) เพื่อให้ผู้ใช้งานที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้
  4. การให้คำแนะนำและการช่วยเหลือ: เว็บไซต์ควรมีระบบคำแนะนำและช่วยเหลือที่เข้าใจง่ายและสามารถใช้งานได้โดยผู้ใช้งานทั่วไป ทั้งในรูปแบบของคำอธิบาย วิดีโอ หรือแม้กระทั่งการติดต่อกับผู้ดูแลระบบหากมีปัญหา
สิ่งต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สามารถวัดและประเมินผลได้ด้วย Lighthouse และยังมีเครื่องมืออื่นช่วนในการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ในเนต่างๆด้วย นอกจากนั้นการประเมินด้วย Lighthouse ยังมีคำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับผลการประเมิน รวมถึงวิธีปรับปรุงแจ้งไว้ด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้ว เว็บไซต์ที่มีผลประเมินดีย่อมมีโอกาสที่ดีกว่าทั้งในด้าน SEO และความพึงพอใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์ ที่มีต่อเว็บไซต์เรา
ข้อมูลเพิ่มเติม :
https://support.google.com/...answer/9205520?hl=th
https://webcheck.aaa.in.th/
0SHAREFacebookLINE it!
^