GORAGOD.com

วิธีการรับมือเมื่อตรวจพบไวรัสบนเว็บไซต์ของตัวเอง

การตรวจพบไวรัสบนเว็บไซต์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะไวรัสสามารถทำให้ข้อมูลของคุณและผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เสียหาย รวมถึงก่อให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยได้ ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการตรวจสอบว่ามีไวรัสในเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ และวิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้นสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ทั่วไป

1. วิธีการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ติดไวรัสหรือไม่

มีหลายวิธีในการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีไวรัสหรือไม่

1.1 ใช้เครื่องมือออนไลน์

มีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยสแกนเว็บไซต์ของคุณเพื่อค้นหาไวรัสหรือมัลแวร์ ตัวอย่างเช่น

  • Google Safe Browsing เครื่องมือนี้สามารถใช้ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณถูก Google ระบุว่ามีความเสี่ยงต่อผู้ใช้งานหรือไม่
  • Sucuri SiteCheck บริการฟรีที่ช่วยสแกนเว็บไซต์เพื่อหามัลแวร์และปัญหาด้านความปลอดภัย
  • VirusTotal สามารถสแกน URL ของเว็บไซต์คุณเพื่อหาความผิดปกติที่อาจเป็นไวรัสหรือมัลแวร์ได้

1.2 ตรวจสอบไฟล์ในโฮสติ้ง

ตรวจสอบไฟล์และโฟลเดอร์ในเซิร์ฟเวอร์ของคุณว่ามีไฟล์ที่น่าสงสัยหรือไม่ โดยเฉพาะไฟล์ที่ถูกแก้ไขล่าสุดหรือไฟล์ที่มีชื่อไม่คุ้นเคย บางครั้งไวรัสหรือมัลแวร์จะสร้างไฟล์ที่มีชื่อแปลกๆ หรือทำการแก้ไขไฟล์ระบบเพื่อทำให้เกิดปัญหาความปลอดภัย

1.3 ตรวจสอบกิจกรรมในเซิร์ฟเวอร์

การตรวจสอบล็อกไฟล์ของเซิร์ฟเวอร์สามารถช่วยให้คุณเห็นว่ามีการเข้าถึงหรือกิจกรรมที่ผิดปกติในเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ เช่น การเข้าถึงไฟล์ที่ไม่ควรถูกเข้าถึงจากภายนอก

2. วิธีการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น

เมื่อตรวจพบว่าเว็บไซต์ของคุณติดไวรัสหรือมัลแวร์ คุณสามารถแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้ดังนี้

2.1 สำรองข้อมูลเว็บไซต์

ก่อนเริ่มแก้ไขหรือลบไฟล์ใด ๆ ควรสำรองข้อมูลเว็บไซต์ทั้งหมดเสียก่อน ทั้งไฟล์และฐานข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลสำคัญสูญหายหรือเสียหายระหว่างกระบวนการแก้ไข

2.2 สแกนและลบไวรัส

ใช้เครื่องมือสแกนไวรัสหรือมัลแวร์สำหรับเซิร์ฟเวอร์หรือโฮสติ้ง เช่น Malwarebytes, ClamAV หรือ Imunify360 เพื่อค้นหาและลบไวรัสที่พบในไฟล์ต่าง ๆ นอกจากนี้ คุณควรสแกนไฟล์สำรองที่ได้ทำไว้ในขั้นตอนก่อนหน้านี้ด้วยเครื่องมือ Antivirus ที่มี เพื่อให้แน่ใจว่าไฟล์สำรองเหล่านั้นปลอดภัยจากไวรัส

2.3 ลบหรือแก้ไขไฟล์ที่ติดไวรัส

หากพบว่าไฟล์ใดถูกไวรัสโจมตี ควรลบหรือแก้ไขไฟล์นั้นเพื่อกำจัดโค้ดที่เป็นอันตราย หากไฟล์ที่ถูกโจมตีเป็นไฟล์ระบบของ CMS หรือ Framework เช่น WordPress, Joomla, หรือ Laravel ควรดาวน์โหลดไฟล์เวอร์ชันล่าสุดจากผู้พัฒนาเพื่อนำมาแทนที่ไฟล์ที่เสียหาย และถ้าคุณมีไฟล์สำรองที่ปลอดภัยอยู่แล้ว จะสามารถนำไฟล์นั้นมาใช้งานได้ทันที

2.4 ตรวจสอบปลั๊กอินและส่วนเสริม

หากคุณใช้ CMS เช่น WordPress หรือ Joomla ควรตรวจสอบปลั๊กอินหรือส่วนเสริมที่ติดตั้งไว้ว่ามีความปลอดภัยหรือไม่ และตรวจสอบว่ามีปลั๊กอินที่ไม่ได้รับการอัปเดตเป็นเวลานานหรือไม่ ควรอัปเดตปลั๊กอินให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ และลบปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นหรือน่าสงสัยออก

2.5 ตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของเว็บไซต์

ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยในเซิร์ฟเวอร์หรือโฮสติ้ง เช่น การใช้ SSL Certificate, การตั้งค่า File Permissions และการจำกัดการเข้าถึงจาก IP Address เพื่อป้องกันการโจมตีในอนาคต

3. การป้องกันเว็บไซต์จากไวรัสและมัลแวร์ในอนาคต

3.1 อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์

การอัปเดต CMS, Framework, และปลั๊กอินต่างๆ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่มีในเวอร์ชันเก่า

3.2 ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA)

การใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงระบบจัดการเว็บไซต์

3.3 ติดตั้งไฟร์วอลล์สำหรับเว็บไซต์

การใช้ Web Application Firewall (WAF) เช่น Cloudflare หรือ Sucuri Firewall ช่วยป้องกันการโจมตีจากการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาต

3.4 ทำการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

การสำรองข้อมูลของเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถกู้คืนเว็บไซต์ได้ในกรณีที่เกิดความเสียหายจากไวรัสหรือมัลแวร์

บทสรุป

การตรวจพบไวรัสบนเว็บไซต์ไม่ใช่เรื่องที่ควรตื่นตกใจ แต่ควรดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การตรวจสอบอย่างละเอียดและการป้องกันที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีในอนาคต